น้องอั้มเกิดและเติบโตในจังหวัดสุพรรณบุรี ปัจจุบันในครอบครัวอยู่ด้วยกัน 3 คน มีพ่อแม่และอั้ม พ่อและแม่ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ใครจ้างทำอะไรก็ทำหมด ขอแค่ให้ได้เงินและเป็นงานสุจริต เช่น ถางหญ้าในไร่อ้อย ฉีดยาฆ่าหญ้า ปลูกมัน เก็บสายน้ำหยด มีรายได้ตกวันละ 300 บาท แต่ถ้าหน้าอ้อยก็จะรับตัดอ้อยเป็นงานหลัก ซึ่งต้องตัดเป็นกอง กองละ 110 ลำ ได้ค่าจ้าง 8 บาท ในหนึ่งวันพ่อกับแม่ต้องช่วยกันตัดรวมกันให้ได้ 50 กอง ถึงจะได้เงินค่าจ้าง 400 บาท และในช่วงหน้าฝน พ่อจะไปรับจ้างฉีดยาในไร่อ้อย แต่เมื่อไม่นานมานี้แม่ได้รับอุบัติเหตุจากรถรับส่งคนงานหักข้าวโพดที่แม่นั่งอยู่ชนกับเสาไฟฟ้า ทำให้แม่ได้รับบาดเจ็บ ถึงตอนนี้อาการจะดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำงานหนักได้ ทำให้ครอบครัวมีรายได้น้อยลง เหลือเพียงประมาณเดือนละสองพันบาท ซึ่งหากเดือนไหนไม่มีใครมาว่าจ้าง ก็ต้องเอาเงินบางส่วนที่เก็บไว้เอาออกมาใช้จ่ายเพื่อประทังทั้ง 3 ชีวิตให้อยู่รอด

          ปัจจุบันอั้มกำลังเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา ชั้นปีที่ 1 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม ซึ่งที่ผ่านมาอั้มเป็นเด็กเรียนดี กิจกรรมเด่น จบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 3 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.93 แถมยังเข้าร่วมกิจกรรมของทางโรงเรียนด้วยการเป็นตัวแทนไปแข่งขันความเป็นเลิศด้านวิชาการจนได้รับรางวัลที่สร้างชื่อเสียงให้กับทางโรงเรียน เช่น ได้รับรางวัลเหรียญทอง การแข่งขันกวีเยาวชนคนรุ่นใหม่ ในงานศิลปะหัตกรรม ได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่น ที่มีความขยัน หมั่นเพียร โดยอั้มแบ่งเวลาเรียน เวลาทำกิจกรรม และช่วยเหลืองานบ้าน โดยอั้มพยายามทำการบ้านให้เสร็จที่โรงเรียน เพื่อที่พอถึงบ้านจะได้รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและไปทำงานบ้านต่อ ทั้งกวาดบ้าน ล้างจาน กรอกน้ำ หุงข้าว รดน้ำต้นไม้ เมื่อทำงานบ้านทั้งหมดเสร็จก็จะอาบน้ำ กินข้าว แล้วมานั่งจดโน้ต สรุปเรื่องที่เรียนไว้อ่านช่วงสอบ ในช่วงปิดเทอมจะออกไปรับจ้างทำงานทั่วไปเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว เช่น เก็บมะขามเทศ กรอกดินปลูกมะละกอ เหลาก้านมะพร้าวสำหรับไว้ไม้กวาดก้านมะพร้าวไว้ขาย เพื่อเป็นกำลังเสริมในการหารายได้อีกทางหนึ่ง

          อั้มมีความฝันที่อยากจะสานฝันให้เป็นจริง คือการเป็นครูสอนวิชาภาษาไทย เพราะชื่นชอบในการเรียนภาษาไทย และเคยมีโอกาสได้ช่วยสอนน้อง ๆ ที่โรงเรียนเก่าตอนประถม ทำให้รู้สึกว่าครูไม่ได้มีหน้าที่แค่สอน แต่ต้องเป็นทุกอย่างให้แก่นักเรียน และเวลาที่เราสอนให้เด็กคนหนึ่งอ่านออกเขียนได้ ใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจ และนั้นเป็นเรื่องราวที่จุดประกายสร้างแรงบันดาลใจให้อยากเป็นครู แต่กว่าจะถึงวันนั้นอั้มต้องฝ่าพันอุปสรรคไปอีกมาก แต่ถึงจะต้องเหนื่อยยากแค่ไหน ก็จะพยายามก้าวผ่านมันไปให้ได้ เวลาที่อั้มรู้สึกท้อหรือเหนื่อย อั้มมักจะมองไปที่พ่อแม่ แล้วพูดในใจกับตัวเองว่า พ่อแม่ยังไม่สบายเลยนะ ต้องสู้ เราทำได้ อย่าพึ่งยอมแพ้ ทุกคนรอดูความสำเร็จของเราอยู่ ด้วยความเป็นคนที่มุ่งมั่น ทำอะไรต้องทำให้สุดความสามารถ และความเป็นนักสู้ของพ่อกับแม่หล่อหลอมทำให้อั้มเป็นคนเข้มแข็งไม่ยอมแพ้กับอะไรง่าย ๆ

        จึงอยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเผชิญปัญหา อั้มเองก็เคยมีชีวิตที่อยู่ในช่วงที่ยากลำบาก อย่างตอนที่แม่ป่วย พ่อก็ต้องไปนอนเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล ส่วนตัวอั้มต้องอยู่เฝ้าบ้าน ตอนเย็นก็ไปเยี่ยมแม่ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราทุกคนไม่มีความสุข แต่ต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อให้กำลังใจแม่ ไม่ให้แม่เป็นห่วง ภายนอกเราอาจจะดูยิ้มแย้ม แต่ภายในใจเรามันท้อและเหนื่อยมาก เป็นช่วงที่อั้มร้องไห้บ่อยที่สุด และเป็นช่วงที่ไม่มีรายได้เข้าบ้านเลยแต่เราต้องใช้เงินในการรักษาพยาบาล ค่ากินอยู่อีก แต่เราก็อดทนและผ่านมันมาได้ จึงอยากฝากถึงทุกคนว่า
        “อยากให้ทุกคนที่กำลังประสบปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต ลุกขึ้นสู้ค่ะ อยากให้ทุกคนมองไปรอบ ๆ ตัวเอง ว่าเราไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เราไม่ได้สู้อยู่คนเดียว เรายังมีครอบครัว มีพ่อมีแม่คอยให้กำลังใจและรอดูวันที่เราจะประสบความสำเร็จอยู่ หนูเชื่อว่าถ้าเราก้าวข้ามสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปได้ มันจะทำให้เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น และหนูก็ยังเชื่อตลอดว่าความพยายามไม่เคยทรยศใคร ขอแค่ให้เราสู้ ๆ และทำให้เต็มที่ก็พอ”