เติมฝัน ปันสุข

เด็กหญิงบุญญาทรัพย์ มะลิลี (กัญจน์)

เด็กเก่งและดี มีน้ำใจ หัวใจนักสู้
นักเรียนทุน SCG Sharing The Dream โดย มูลนิธิเอสซีจี

เด็กเก่งและดี มีน้ำใจ หัวใจนักสู้

เด็กหญิงบุญญาทรัพย์ มะลิลี (กัญจน์)
นักเรียนทุน SCG Sharing The Dream โดย มูลนิธิเอสซีจี

      การอยู่ร่วมกันในสังคมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยความมีน้ำใจไมตรีที่ดีต่อกัน ความมีน้ำใจเป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้ โดยไม่ต้องใช้เงินทองมากมาย เพียงแต่แสดงความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อย่างเช่นน้องกัญจน์ บุญญาทรัพย์ มะลิลี เด็กสาววัย 13 ปี นักเรียนทุน SCG Sharing The Dream โดย มูลนิธิเอสซีจี ที่อาศัยและเติบโตในชุมชนแออัด ชีวิตเธอต้องฟันฝ่าอุปสรรคและต่อสู้กับความยากลำบาก แต่ทุกปัญหาไม่ได้ทำให้เธอย่อท้อ นอกจากจะประพฤติตนเป็นเด็กเก่งและดีแล้ว น้องกัญจน์ยังมีน้ำใจแบ่งปันช่วยเหลือชุมชน และสังคมอยู่ตลอด เป็นเพชรในตมที่กำลังเจียระไนตัวเองให้ เปล่งประกายอย่างงดงาม

เพชรไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ยังคงเป็นคุณค่าความเป็นเพชร

      น้องกัญจน์ อาศัยอยู่กับแม่และน้องชายในชุมชนแออัดหลังสถานีรถไฟหลักสี่ กรุงเทพฯ พ่อ กับแม่แยกทางกันตั้งแต่น้องกัญจน์อายุได้เพียง 1 ขวบ ทำให้รายได้ในการดูแลครอบครัวมาจากแม่เพียงคนเดียวที่ทำงานเป็นแม่บ้านรับจ้างทำความสะอาดทั่วไป กัญจน์ไม่ได้มีชีวิตวัยเด็กเหมือนเพื่อน ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันที่ได้ออกไปเที่ยวเล่นตามประสาเพราะเธอมีหน้าที่ต้องช่วยแม่ทำงานบ้านและ ดูแลน้องชายที่บกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities) แม้ว่าจะมีภาระหน้าที่ความ รับผิดชอบที่เกินตัวแต่น้องกัญจน์ก็สามารถทำทุกอย่างได้ดี รวมถึงผลการเรียนของกัญจน์ที่นำมา ซึ่งความภาคภูมิใจและรอยยิ้มให้กับครอบครัว

      “บ้านหนูอยู่ในสลัมหลังสถานีรถไฟหลักสี่ เราอยู่กันด้วยกันสามคนแม่ลูก เพราะพ่อแยกทางกับแม่ตั้งแต่ตอนที่หนูยังเด็ก แม่จึงต้องเหนื่อยทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูหนูกับน้องชาย ทุกวันนี้หนูช่วย แบ่งเบาภาระของแม่ด้วยการช่วยทำงานบ้าน ช่วยดูแลน้องชายที่เป็นเด็กพิเศษ และเป็นเด็กดีพยายามตั้งใจเรียนจนมีผลการเรียนเกรดเฉลี่ยสามกว่าทุกเทอมเพื่อมาเป็นของขวัญ เป็นกำลังใจให้แม่หายเหนื่อยจากการทำงาน”

สาวน้อยนักสู้หัวใจแกร่งเกินวัย

      เมื่อรู้ว่าแม่ป่วยเป็นโรคกระดูกทับเส้นประสาทและมีโรคประจำตัวอื่น ๆ ก็ทำให้กัญจน์อยากหารายได้เสริมเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระแม่ โดยเลือกนำความรู้ที่ตัวเองมีนำมาต่อยอดสร้างรายได้ โดยการเปิดรับสอนพิเศษ ภาษาจีน เพราะน้องกัญจน์ เคยมีโอกาสเข้าเรียนในโครงการ 1 เขต 1 ห้องเรียน เรียนภาษาจีนอยู่นานถึง 6 ปี ทำให้ตัวเองมีทักษะภาษาจีนขั้นพื้นฐาน พอเห็นว่ามีคนไลฟ์สอนภาษาจีนในเฟซบุ๊กจึงเกิดความคิดว่าตัวเองก็สามารถทำได้จึงเริ่มรับสอนพิเศษ ช่วงแรกๆก็ยังไม่มีคนมาเรียนด้วย น้องกัญจน์ต้องเดินไปหาเด็กในชุมชนและประชาสัมพันธ์ผ่านเฟซบุ๊ก กระทั่งพบกับน้องคนหนึ่งอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ต้องการเรียนภาษาจีนอยู่พอดี กัญจน์จึงได้มีลูกศิษย์คนแรก น้องกัญจน์สอนดี เข้าใจง่าย คนจึงพากันแนะนำต่อ ๆ กัน ไปจึงมีคนเริ่มมาเรียนพิเศษกับน้องกัญจน์มากขึ้น โดยน้องกัญจน์ คิดค่าเรียนชั่วโมงละ 150 บาท แต่ปัจจุบันสถานการณ์โควิดแพร่ระบาดรุนแรง น้องกัญจน์จึงหยุดสอน และเปลี่ยนไป ช่วยแม่ที่รับจ้างทำความสะอาดตามบ้าน และไปช่วยลุงกับป้าขายน้ำมะพร้าวในวันเสาร์อาทิตย์ และตอนนี้กำลังเริ่มทำเพจสอนภาษาจีนสำหรับผู้สนใจได้เรียนฟรีทางออนไลน์

สาวน้อยนักสู้หัวใจแกร่งเกินวัย

      เมื่อรู้ว่าแม่ป่วยเป็นโรคกระดูกทับเส้นประสาทและมีโรคประจำตัวอื่น ๆ ก็ทำให้กัญจน์อยากหารายได้เสริมเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระแม่ โดยเลือกนำความรู้ที่ตัวเองมีนำมาต่อยอดสร้างรายได้ โดยการเปิดรับสอนพิเศษ ภาษาจีน เพราะน้องกัญจน์ เคยมีโอกาสเข้าเรียนในโครงการ 1 เขต 1 ห้องเรียน เรียนภาษาจีนอยู่นานถึง 6 ปี ทำให้ตัวเองมีทักษะภาษาจีนขั้นพื้นฐาน พอเห็นว่ามีคนไลฟ์สอนภาษาจีนในเฟซบุ๊กจึงเกิดความคิดว่าตัวเองก็สามารถทำได้จึงเริ่มรับสอนพิเศษ ช่วงแรกๆก็ยังไม่มีคนมาเรียนด้วย น้องกัญจน์ต้องเดินไปหาเด็กในชุมชนและประชาสัมพันธ์ผ่านเฟซบุ๊ก กระทั่งพบกับน้องคนหนึ่งอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ต้องการเรียนภาษาจีนอยู่พอดี กัญจน์จึงได้มีลูกศิษย์คนแรก น้องกัญจน์สอนดี เข้าใจง่าย คนจึงพากันแนะนำต่อ ๆ กัน ไปจึงมีคนเริ่มมาเรียนพิเศษกับน้องกัญจน์มากขึ้น โดยน้องกัญจน์ คิดค่าเรียนชั่วโมงละ 150 บาท แต่ปัจจุบันสถานการณ์โควิดแพร่ระบาดรุนแรง น้องกัญจน์จึงหยุดสอน และเปลี่ยนไป ช่วยแม่ที่รับจ้างทำความสะอาดตามบ้าน และไปช่วยลุงกับป้าขายน้ำมะพร้าวในวันเสาร์อาทิตย์ และตอนนี้กำลังเริ่มทำเพจสอนภาษาจีนสำหรับผู้สนใจได้เรียนฟรีทางออนไลน์

เชื่อว่าในชีวิตของทุกคนย่อมพบเจออุปสรรคเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เราคนเดียว
ไม่ว่าจะปัญหาเล็ก หรือปัญหาใหญ่ ทุกอุปสรรคล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องฝ่าฟันไปให้ได้
ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะเลือกเดินต่อหรือว่ายอมแพ้ สำหรับหนูเลือกที่จะยิ้มสู้และเดินต่อไป
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ และยังไม่ถึงเป้าหมายที่หวังไว้ จะไม่ยอมถอดใจเลิกสู้

ใช้ความสามารถสร้างโอกาสให้ชีวิต

      วันหนึ่งขณะที่กัญจน์กำลังสอนพิเศษภาษาจีนอยู่นั้นมีคุณป้าในชุมชนเห็นน้องกัญจน์เป็นเด็กเก่งและดี มีความสามารถ แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ จึงชักชวนให้ลองไปสมัครรายการเก่งจริงชิงค่าเทอม ทางช่อง One 31 น้องกัญจน์สนใจมากจึง เข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมในเฟซบุ๊กเพจของรายการแล้วจึงตัดสินใจสมัคร เมื่อได้รับการตอบรับให้ไปแข่งขันในรายการ กัญจน์รู้สึกตื่นเต้นมากเพราะเป็นการออกทีวีครั้งแรก แต่ก่อนไปออกรายการน้องกัญจน์ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อหวังพิชิตเงินรางวัลกลับมาให้ได้ แล้วก็สามารถทำแจ๊คพอตแตกได้สำเร็จได้รับเงินรางวัลจากรายการ อีกทั้งยังได้รับโอกาสอันดีจากมูลนิธิเอสซีจีที่เล็งเห็นคุณค่าในความเป็นคนเก่งและดี จึงได้มอบทุนการศึกษาต่อเนื่องจนจบปริญญาตรี เป็นทุนให้เปล่า ไม่มีภาระผูกพัน เป็นหลักประกันทางการศึกษาที่จะช่วยทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต

      “หนูต้องขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีและทางรายการมากเลยค่ะ หนูกำลังคิดว่าจะหารายได้ทางไหนที่จะสามารถส่งตัวเองให้เรียนสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม่ก็เครียดเรื่องค่าเทอมเวลาหนูเรียนจบเทอมหนึ่งแม่ก็จะต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นเพื่อหาเงินให้หนูได้เรียนต่อไป การได้รับทุนจากมูลนิธิฯ ทำให้หนูได้มีโอกาสเรียนต่อและมันสามารถแบ่งเบาภาระของแม่ลงได้เยอะมากค่ะ หนูต้องขอบพระคุณเป็นอย่างสูง และขอสัญญาว่าจะนำความรู้ที่มีมาพัฒนาและช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือคนที่ยังขาดโอกาสให้ได้รับโอกาสที่ดีเหมือนหนูได้รับมาในวันนี้”

น้ำใจเป็นสิ่งดีงาม ที่เติมเต็มสังคมให้งอกงามอย่างสมบูรณ์

      น้องกัญจน์เป็นเด็กรู้จักเก็บออมมาตั้งแต่เด็ก ทำบันทึกรายรับ-รายจ่ายทุกวัน โดยมีการวางแผนการใช้จ่ายโดยจะนำเงินที่ได้แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ส่วนแรกเป็นเงินออมเพื่อเก็บไว้ใช้ในอนาคตในยามจำเป็น ส่วนที่สองเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเรียน อาทิ ค่าเทอม อุปกรณ์การเรียน เป็นต้น และส่วนที่สามคือการนำไปช่วยเหลือสังคม แม้ว่าตัวเองจะมีไม่มากแต่ก็มีน้ำใจพร้อมที่แบ่งปันให้กับผู้อื่นอย่างกิจกรรมเรียนธรรมมะวันอาทิตย์ที่โรงเรียนวัดหลักสี่ โรงเรียนเก่าสมัยประถมที่มีน้องๆ ไปเรียนกัน ทางโรงเรียนมีแค่อาหารกลางวันให้ แต่ไม่มีขนม น้องกัญจน์เข้าใจถึงข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ และก็เข้าใจถึงความเป็นเด็กว่าอยากกินขนม จึงแจ้งความจำนงค์กับพระอาจารย์ว่ายินดีนำเงินของตัวเองไปซื้อขนมให้น้องๆ ได้กินกัน แม้เป็นเรื่องเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ในหัวใจทั้งผู้ให้ และผู้รับ และในตอนที่โควิดระบาดหนักโรงเรียนต้องปิดทำการเรียนการสอนให้นักเรียนทุกคนอยู่บ้านเพื่อความปลอดภัย และจัดให้มีการเรียนแบบออนไลน์แต่น้องๆ ในชุมชนบ้างบ้านไม่มีคอมพิวเตอร์ หรือบางบ้านมีแต่มีลูกสามคนก็ไม่พอใช้ต้องผลัดกันเรียนคนละวิชา น้อกัญจน์มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจึงตัดสินใจนำเงินตัวเองไปซื้อโน้ตบุ๊กมือสองมาไว้เป็นส่วนกลางในชุมชนเพื่อให้น้องที่ขาดแคลน ไม่ขาดโอกาสในการศึกษาหาความรู้ และตอนนี้สถานการณ์ยังไม่คลี่คลายน้องกัญจน์และครอบครัวก็ยังร่วมเป็น จิตอาสากับโครงการ “ต้องรอด Up for Thai” ในการร่วมจัดทำข้าวกล่องเพื่อส่งไปช่วยเหลือชาวชุมชนคลองเตยและชุมชนในกทม. ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 อีกด้วย โดยแม่ช่วยป็นแม่ครัว และกัญจน์กับน้องชายช่วยกันแพ็คอาหารทำให้เราได้เห็น น้ำใจที่งอกงามของน้องกัญจน์ที่พร้อมทุ่มเทแรงกาย แรงใจในการช่วยเหลือสังคมเพียงหวังให้ทุกคนก้าวผ่านวิกฤตการณ์นี้ไป ได้ด้วยกัน

น้ำใจเป็นสิ่งดีงาม ที่เติมเต็มสังคมให้งอกงามอย่างสมบูรณ์

      น้องกัญจน์เป็นเด็กรู้จักเก็บออมมาตั้งแต่เด็ก ทำบันทึกรายรับ-รายจ่ายทุกวัน โดยมีการวางแผนการใช้จ่ายโดยจะนำเงินที่ได้แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ส่วนแรกเป็นเงินออมเพื่อเก็บไว้ใช้ในอนาคตในยามจำเป็น ส่วนที่สองเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเรียน อาทิ ค่าเทอม อุปกรณ์การเรียน เป็นต้น และส่วนที่สามคือการนำไปช่วยเหลือสังคม แม้ว่าตัวเองจะมีไม่มากแต่ก็มีน้ำใจพร้อมที่แบ่งปันให้กับผู้อื่นอย่างกิจกรรมเรียนธรรมมะวันอาทิตย์ที่โรงเรียนวัดหลักสี่ โรงเรียนเก่าสมัยประถมที่มีน้องๆ ไปเรียนกัน ทางโรงเรียนมีแค่อาหารกลางวันให้ แต่ไม่มีขนม น้องกัญจน์เข้าใจถึงข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ และก็เข้าใจถึงความเป็นเด็กว่าอยากกินขนม จึงแจ้งความจำนงค์กับพระอาจารย์ว่ายินดีนำเงินของตัวเองไปซื้อขนมให้น้องๆ ได้กินกัน แม้เป็นเรื่องเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ในหัวใจทั้งผู้ให้ และผู้รับ และในตอนที่โควิดระบาดหนักโรงเรียนต้องปิดทำการเรียนการสอนให้นักเรียนทุกคนอยู่บ้านเพื่อความปลอดภัย และจัดให้มีการเรียนแบบออนไลน์แต่น้องๆ ในชุมชนบ้างบ้านไม่มีคอมพิวเตอร์ หรือบางบ้านมีแต่มีลูกสามคนก็ไม่พอใช้ต้องผลัดกันเรียนคนละวิชา น้อกัญจน์มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจึงตัดสินใจนำเงินตัวเองไปซื้อโน้ตบุ๊กมือสองมาไว้เป็นส่วนกลางในชุมชนเพื่อให้น้องที่ขาดแคลน ไม่ขาดโอกาสในการศึกษาหาความรู้ และตอนนี้สถานการณ์ยังไม่คลี่คลายน้องกัญจน์และครอบครัวก็ยังร่วมเป็น จิตอาสากับโครงการ “ต้องรอด Up for Thai” ในการร่วมจัดทำข้าวกล่องเพื่อส่งไปช่วยเหลือชาวชุมชนคลองเตยและชุมชนในกทม. ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 อีกด้วย โดยแม่ช่วยป็นแม่ครัว และกัญจน์กับน้องชายช่วยกันแพ็คอาหารทำให้เราได้เห็น น้ำใจที่งอกงามของน้องกัญจน์ที่พร้อมทุ่มเทแรงกาย แรงใจในการช่วยเหลือสังคมเพียงหวังให้ทุกคนก้าวผ่านวิกฤตการณ์นี้ไป ได้ด้วยกัน

“หนูเป็นคนอดออม ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ในชีวิตหนูไม่เคยมีของเล่นเลย เงินที่หามาได้ทั้งหมดจะแบ่งเป็นส่วน ๆ เก็บเข้าบัญชีธนาคารออมไว้เพื่อใช้ในวันข้างหน้า อีกส่วนก็ใช้จ่ายจะซื้อของที่จำเป็น และยังแบ่งอีกส่วนมาแบ่งปันช่วยเหลือสังคมในชุมชนที่หนูอยู่ เพราะหนูเคยเป็นผู้รับมาก่อน พอมาวันนี้หนูได้รับโอกาสที่ดี พอมีกำลังจึงอยากเป็นผู้ให้ในการส่งต่อสิ่งดีๆ ให้คนอื่นบ้าง แม้ไม่มากมายแต่ก็ได้ช่วยแบ่งเบาความเดือนร้อน หนูคิดว่าคนเก่งในสังคมมีมากแล้ว หนูอยากเป็นคนเก่ง คนดี และมีน้ำใจ เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมที่มีความเอื้อเฟื้อ และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน”

กำลังใจจากแม่ คือแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างอนาคต

      “เป็นแค่เด็กโรงเรียนวัดคงจบแค่ ป.6 แล้วคงทำงานอะไรไม่ได้ต้องรับจ้างทั่วไป หรือไม่ก็ไปเป็นเด็กสก๊อยนั่นแหละ”
คำดูถูกที่ทำให้กัญจน์สัญญากับตัวเองว่าจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้ให้ได้ โดยเริ่มต้นจากการเรียน น้องกัญจน์ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะสอบเข้าเรียนต่อระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนราชวินิตบางเขน ให้ได้เพื่อพิสูจน์ว่าเด็กโรงเรียนวัดอย่างเธอก็มีความสามารถแล้วเธอก็ทำได้สำเร็จ และยังคงมุ่งมั่นทำความดีข่วยเหลือสังคมในโอกาสต่างๆ ทำตัวให้มีประโยชน์และคุณค่า ตามคำสอนของแม่ที่พร่ำสอนมาตลอดว่า ความจนไม่ได้ทำให้เราดูต้อยต่ำ อย่าเก็บคำดูถูกมาเป็นอารมณ์ แต่จงนำมาเป็นแรงผลักดันให้ไม่ยอมแพ้และอดทนต่อความยากลำบาก คำพูดคนอื่นถ้าไม่จำเป็นกับชีวิตเราก็ปล่อยผ่านไป ให้คิดว่าวันนี้เราทำอะไร พรุ่งนี้จะทำอะไร จะกินอะไร จะทำอย่างไรเพื่อให้ดำเนินชีวิตต่อไปได้ ทำให้น้องกัญจน์มีภูมิคุ้มกันในชีวิตที่ดี และมีพลังบวกในการขับเคลื่อนที่จะพัฒนาตัวเองและช่วยเหลือสังคม

“หนูกลัวความจนค่ะ ความลำบากหนูไม่กลัว เพราะลำบากยังไงก็สามารถพัฒนาตัวเองไปสู่ความสำเร็จได้ แต่ความจนมันทำให้คนดูถูก หนูจึงมีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ อยากเป็นทหารสื่อสาร อยากดูแลแม่ ดูแลน้องให้มีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และอยากให้สังคมมองเห็นคุณค่าของคนจากในสิ่งที่เราทำ ถึงเราจะจนแต่ก็ไม่เคยจนน้ำใจ หนูอยากช่วยเหลือเด็ก ๆ ในชุมชนให้เขาได้เรียนได้รับโอกาสทางการศึกษา เพื่อที่จะได้เติบโตมาสามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ มีเหลือก็มีน้ำใจแบ่งปันให้สังคม เท่านี้ทุกคนก็จะเป็นคนที่มีคุณค่าทั้งต่อตัวเอง ครอบครัวและประเทศชาติ”

ขอขอบคุณรูปภาพจากรายการ เก่งจริงชิงค่าเทอม