เติมฝัน ปันสุข

นางสาวพฤกษา สุวรรณโชติ (สา)

เด็กเก่ง ยอดกตัญญู สู้ชีวิต
เสาหลักในทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
นักเรียนทุน SCG Sharing The Dream โดย มูลนิธิเอสซีจี

เด็กเก่ง ยอดกตัญญู สู้ชีวิต
เสาหลักในทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว

นางสาวพฤกษา สุวรรณโชติ (สา)

นักเรียนทุน SCG Sharing The Dream โดย มูลนิธิเอสซีจี

      เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งอายุเพียง 15 ปี แต่มีภาระหน้าที่ความรับผิดชอบที่ใหญ่เกินตัว น้องมีพ่อ อายุ 50 ปีเป็นผู้ป่วยติดเตียง และมีย่า อายุ 70 ปีที่สุขภาพไม่แข็งแรงมีโรคประจำตัวรุมเร้าหลายโรคที่ต้องดูแล ทำให้น้องเป็นคนเดียวในบ้านที่สามารถออกไปทำงานได้จึงจำเป็นต้องรับหน้าที่เป็นเสาหลักในการหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ทำให้ทุกวันหลังเลิกเรียนน้องต้องไปทำงานหาเงิน แม้ว่าชีวิตจะยากลำบากและเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งดูแลพ่อ ทั้งเรียน และทำงานไปด้วยแต่ไม่ได้ทำให้น้องสา พฤกษา สุวรรณโชติ เด็กเก่ง หัวใจแกร่ง ยอดกตัญญูคนนี้ รู้สึกท้อแท้หรือน้อยใจยอมจำนนต่อโชคชะตาของตัวเองเลย น้องกลับมุ่งมั่นทำทุกวันให้ดีที่สุด เพราะมีความเชื่อเสมอว่าแม้ไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เราเลือกทำชีวิตให้ดีขึ้นได้

ตัวเล็กหัวใจใหญ่ เสาหลักวัยจิ๋ว ผู้ไม่เคยจำนนต่อโชคชะตา

      น้องสา อยู่กับพ่อและย่าทั้ง 3 คนอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็ก ๆ ในจังหวัดระยอง เพราะพ่อกับแม่แยกทางกันเมื่อหลายปีก่อน แม่กับน้องสาวย้ายไปอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี และมีครอบครัวใหม่ แต่ตัวน้องสาเองขอเลือกที่จะไม่ไปอยู่กับแม่เพราะไม่อยากทิ้งพ่อให้อยู่กับย่ากันแค่ 2 คน เพราะพ่อเป็นผู้ป่วยติดเตียงจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์คว่ำทำให้กระดูกสันหลังหัก เส้นประสาทบริเวณหลังขาดทำให้ไม่สามารถเดินได้เป็นเวลามากกว่า 5 ปีแล้ว ส่วนย่าก็อายุมากแถมยังป่วยอีก น้องสากลัวย่าจะเหนื่อยที่ต้องดูแลพ่ออยู่คนเดียว และเป็นห่วงความรู้สึกพ่อด้วยถ้าจะไม่มีลูกอยู่ช่วยดูแลเลยสักคน น้องสาจึงตัดสินใจขออยู่ดูแลพ่อกับย่าด้วยกันที่นี่ ทำให้ทุกวันนี้นอกจากจะเรียนหนังสือแล้วน้องสายังมีหน้าที่ ต้องดูแลพ่ออีกด้วย โดยรายได้ของครอบครัวมาจากเบี้ยเลี้ยงคนพิการของพ่อและเบี้ยเลี้ยงคนชราของย่า และเงินที่แม่ส่งมาให้น้องสาใช้ ซึ่งรายได้ทั้งหมดไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน น้องสาจึงต้องออกไปทำงานหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยทุกเย็นหลังเลิกเรียนและทุกวันเสาร์-อาทิตย์น้องสาจะไปทำงานรับจ้างที่ร้านอาหาร เพื่อช่วยหาเงินเข้าบ้าน

      “ในทุกๆ วันหนูต้องตื่นเช้ามากค่ะ ตื่นมาทำแผล เปลี่ยนผ้าอ้อม และป้อนข้าวพ่อให้เรียบร้อยแล้วจึงไปโรงเรียน ระหว่างวันย่าจะเป็นคนเช็ดตัวและพลิกตัวให้พ่อ เรียนเสร็จก็รีบกลับมาดูแลพ่อก่อนแล้วค่อยไปทำงาน ทุกวันนี้รายได้หลักของครอบครัวมาจากเงินที่แม่ทำงานตัดยางส่งมาครั้งละ 500 บาท ใช้ได้ประมาณ 10 วัน รวมกับเบี้ยเลี้ยงคนพิการของพ่อเดือนละ 1,000 บาท และเบี้ยเลี้ยงคนชราของย่าเดือนละ 800 บาท ซึ่งมันไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ค่าแพมเพิร์สของพ่อก็ประมาณพันนึงแล้ว ค่ากับข้าว ค่าน้ำค่าไฟ ค่าไปโรงเรียนอีก หนูเลยจำเป็นต้องออกไปหางานทำโดยไปรับจ้างเป็นผู้ช่วยแม่ครัวที่ร้านอาหาร ช่วยเขาหยิบของในครัว เช็ครายการอาหาร ได้รับค่าแรงวันละ 250 บาท บางวันถ้าลูกค้าเยอะทางร้านก็ใจดีให้เพิ่มเป็น 300 บาท ตอนไปทำงานแรกๆ พ่อก็เป็นห่วงเรื่องการเดินทาง เพราะเราเป็นเด็กผู้หญิงแกกลัวจะมีอันตราย แต่โชคดีที่เจ้าของ ร้านเมตตามาส่งที่บ้านทำให้พ่อเบาใจ รายได้ในส่วนนี้ก็นำมาช่วยค่ากับข้าวให้เราได้มีกินไม่ต้องอด ไม่ต้องไปหยิบยืมใคร นอกจากงานพิเศษแล้ว งานบ้านหนูก็ยังต้องรับผิดชอบ ทั้งซักผ้า รีดผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน สระผม ตัดผม ตัดเล็บให้พ่อ ช่วยย่าทำกับข้าวบ้างบางวัน เพราะไม่อยากให้ย่าเหนื่อยมาก อะไรที่ช่วยได้ หนูก็ช่วยหมดเพราะเราเป็นครอบครัว เดียวกันก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน แต่ตอนนี้สถานการณ์ไวรัสโควิด19 แพร่ระบาดรุนแรงทำให้ร้านที่หนูทำงานอยู่ได้รับผลกระทบจนต้องปิดไปก่อนรอจนกว่าสถานการณ์ จะดีขึ้น ตอนนี้หนูก็ปรับตัวเปลี่ยนไปรับจ้างที่ร้านจัดโต๊ะจีนแม้ไม่ค่อยมีมากนัก แต่ก็พอทำให้มีรายได้เข้ามาบ้างในยามขัดสนแบบนี้ เพราะรายได้น้อยลง เราจึงต้องประหยัดกันมากขึ้น เพื่อให้เราทั้ง 3 คนอยู่รอดไปได้”

ความกตัญญู เป็นเครื่องหมายของคนดี

      คำว่า กตัญญู สำหรับน้องสา หมายถึง การตอบแทนผู้มีพระคุณอย่างพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด และย่าที่เลี้ยงดูทำให้ได้เติบโต คอยชี้แนะสั่งสอนให้เราเป็นคนดี มีคุณธรรม เมื่อเห็นท่านลำบากน้องสาจึงไม่ลังเลที่จะเข้าให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ เพราะการดูแลท่านถือเป็นการทดแทนพระคุณ ถือเป็นบุญใหญ่ที่จะนำความสุขมาให้ และเป็นเรื่องที่ดีที่สังคมยกย่องเชิดชูให้เป็นแบบอย่างของลูกกตัญญูที่สำนึกรู้บุญคุญบุพการี

      “บางทีเคยเหนื่อยมากๆ ท้อหนักๆ ก็นั่งคิดว่าถ้าตัดสินใจอยู่กับแม่ ชีวิตคงสบายกว่านี้ ไม่ต้องลำบากอย่างที่เป็นอยู่ แต่พอเห็นหน้าพ่อกับย่าแล้ว หนูก็ทิ้งไปไม่ได้จริงๆ ยอมเหนี่อยด้วยกันดีกว่า เพราะย้อนคิดกลับไปตอนที่พ่อปกติไม่ได้นอนป่วยแบบนี้ พ่อหาให้ทุกอย่างตามที่หนูร้องขอ ถึงบ้านเราไม่ใช่คนมั่งมี แต่ย่าไม่เคยให้หนูต้องอดมื้อกินมื้อเลย และพอวันนี้พ่อป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ย่าก็ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ เป็นเบาหวาน โรคไขมัน ความดันอีก แล้วจะให้หนูปล่อยมือจากคนที่เคยใช้สองมืออุ้มชูเลี้ยงดูหนูได้อย่างไร หนูจึงตั้งใจตอบแทนบุญคุณด้วยการประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นลูกที่ดี เป็นหลานที่น่ารัก เป็นเด็กดี มีคุณธรรม และทุ่มเทเอาใจใส่ช่วยเหลือดูแลพ่อและย่าให้ดีที่สุด เหมือนที่ท่านได้เมตตาให้ความรักและเลี้ยงดูหนูตลอดมา ทำโดยไม่ได้คาดหวังอะไร นอกจากช่วยแบ่งเบาความทุกข์และดูแลพวกท่านให้ดีที่สุดอย่างสุดความสามารถเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ เพราะมันเป็นหน้าที่ของคนเป็นลูก เป็นหลาน จนใครๆ ได้รู้ถึงสิ่งที่หนูทำก็พากันชื่นชมไม่ว่าจะเป็นครูที่โรงเรียน หรือพ่อแม่เพื่อน บอกว่าหนูเป็นเด็กดี เป็นเด็กกตัญญู เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กคนอื่นๆ หนูได้ยินแล้วก็รู้สึกดีใจและภาคภูมิใจมาก ถึงพ่อกับย่าจะไม่เคยพูดอะไรแต่หนูก็รู้ว่าท่านภูมิใจในตัวหนูเหมือนกัน ว่าสิ่งที่หนูตั้งใจทำมีคนมองเห็น หนูเชื่อว่าทุกคนก็สามารถแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณได้ และทำได้เลย ไม่ต้องรอเวลาที่ประสบปัญหาเหมือนหนู เพราะความกตัญญู คือ พื้นฐานของการเป็นคนดี”

การได้รับโอกาสทางการศึกษา เปลี่ยนชีวิตให้ดี มีอนาคต

      ปัจจุบันน้องสาเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุนทรภู่พิทยาคม จังหวัดระยอง เกรดเฉลี่ย 3..46 เรียนสายวิทย์-คณิต น้องสาชื่นชอบวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาก เคยเป็นตัวแทนโรงเรียนไปร่วมแข่งขันกิจกรรมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเคมี และสามารถคว้ารางวัลเหรียญทองในการแข่งขันระดับภาคมาแล้ว จึงได้รับคำแนะนำของครูประจำชั้นว่าน้องสาเก่งและดี มีความสามารถ แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ อยากให้ลองไปร่วมการแข่งขันในรายการเก่งจริงชิงค่าเทอม ทางช่อง 0ne 31 ตัวของน้องสาเองก็เคยดูรายการ และคิดว่าหากมีโอกาสก็อยากไปพิสูจน์ศักยภาพของตัวเองในรายการสักครั้ง เมื่ออาจารย์ชักชวนน้องสาจึงตอบตกลงและได้รับการตอบรับให้ไปออกรายการ ซึ่งน้องสาก็เตรียมตัวอ่านหนังสือทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองถนัดนั่นคือวิชาวิทยาศาสตร์อย่างหนัก วันถ่ายทำยอมรับว่าตื่นเต้นมาก แต่พยายามควบคุมสติ เชื่อว่าเราเตรียมตัวมาดีแล้ว ทำให้แม้ได้รับโจทย์ที่ท้าทายความสามารถที่สุดหินก็ตอบถูกทุกข้อ จนทำแจ๊คพอต แตกได้รับเงินรางวัลจากทางรายการ อีกทั้งยังได้รับโอกาสอันดีจากมูลนิธิเอสซีจีที่เล็งเห็นคุณค่าในความเป็นคนเก่งและดี มีความกตัญญูจึงได้มอบทุนการศึกษาต่อเนื่องจนจบปริญญาตรี เป็นทุนให้เปล่า ไม่มีภาระผูกพัน เป็นหลักประกันทางการศึกษาที่จะช่วยทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต ทำให้น้องสาคลายความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการศึกษาของตัวเองลงไปได้

Play Video

“ก่อนไปแข่งในรายการหนูกังวลเรื่องทุนการศึกษามาโดยตลอด เพราะทุกวันนี้แค่ลำพังค่ากินค่าอยู่ยังชักหน้าไม่ถึงหลัง ไม่รู้ว่าจะไปหาเงินที่ไหน
มาจ่ายค่าเทอม แต่วันนี้เมื่อได้รับทุน มันพิสูจน์แล้วว่าโอกาสเป็นของคนที่พร้อมเสมอ หนูรู้สึกขอบคุณความยากลำบากที่ทำให้หนูเป็นคนที่มีความพยายาม
และการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ทำให้มาได้ไกลกว่าเดิม ตอนนี้หนูสามารถทำให้ความฝันเรื่องการเรียนจนจบปริญญาตรีเป็นจริงได้แล้ว ทำให้กล้าที่จะวางแผนชีวิตตัวเองต่อไปว่าจะเรียนอะไร ในส่วนของเงินรางวัลที่ได้จากทางรายการหนูตั้งใจจะเก็บไว้เป็นเงินออมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน สำหรับทุนการศึกษาจากมูลนิธิฯ
หนูจะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาเท่านั้น หนูต้องขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีที่มอบทุนการศึกษาให้ ทุนนี้มันมีมูลค่าต่อชีวิตของหนูมากจริงๆ
เพราะการได้รับโอกาสทางการศึกษา คือการได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มันเปลี่ยนชีวิตเด็กคนนึงที่มืดมนให้มีอนาคตที่สดใส
หนูสัญญาว่าจะเป็นเด็กดีตั้งใจเรียนและเป็นคนที่ประสบความสำเร็จให้ได้ค่ะ”

ครอบครัวคือกำลังใจที่ทำให้มีแรงสู้ในทุก ๆ วัน

     ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะแยกทางกัน แต่น้องสาก็ยังได้รับความรัก ความอบอุ่นที่ดีจากทั้งพ่อและแม่เสมอ เพราะถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ความรักสายสัมพันธ์ของครอบครัวยังคงอยู่เหมือนเดิม เวลาที่น้องสารู้สึกเหนื่อยหรือท้อใจเวลามีปัญหากับเพื่อนเรื่องการทำงานกลุ่ม เพราะน้องสาไม่มีเวลาไปช่วยงานเพื่อนๆ หลังเลิกเรียนได้ เพราะมีข้อจำกัดที่ต้องรีบกลับไปดูแลพ่อและยังต้องไปทำงานพิเศษอีกทำให้เพื่อนบางคนไม่พอใจ บางคนคิดว่าน้องสาใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างในการไม่ช่วยงาน จนน้องสาต้องขอโทษและอธิบายเหตุผล รวมถึงแก้ไขปัญหาด้วยการแบ่งเวลาเพื่อช่วยงานกลุ่มให้ได้มากที่สุด ชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนึงที่ผ่านปัญหามามากมาย แต่น้องสาก็ผ่านมันมาได้ก็ด้วยความรักและกำลังใจจากพ่อแม่และย่าทำให้น้องสาสลัดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหล่านั้นออกไปได้ เพราะทุกคนเป็นแรงผลักดันให้น้องสาไม่เคยยอมแพ้ต่อเส้นทางชีวิตที่ยากลำบาก น้องสามองเห็นแม่เป็นผู้หญิงแกร่งที่ทำงานทุกอย่างเพื่อหาเงินส่งมาให้ ส่วนพ่อก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุเป็นคนขยันทำมาหากินดูแลครอบครัวอย่างดีมาโดยตลอด แม้กระทั่งประสบอุบัติเหตุต้องนอนเป็นผู้ป่วยติดเตียงก็ไม่เคยบ่นท้อให้ได้ยินแม้แต่ครั้งเดียว ย่าก็เช่นกันทั้งที่ตัวเองป่วยแต่ต้องดูแลพ่อ ดูแลน้องสาแต่ก็ไม่มีเสียงบ่นตัดพ้อในชะตาชีวิตให้ได้ยินสักคำ มีแต่คำปลอบโยนและให้กำลังใจ ทุกคนเป็นคนที่เข้มแข็ง ไม่มีใครยอมแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น เป็นคนสู้ชีวิตที่ใจสู้มาก จึงเป็นเบ้าหลอมให้น้องสายึดเป็นแบบอย่างที่ดีในการต่อสู้ชีวิตทำให้น้องเป็นเด็กที่เข้มแข็งและยิ้มสู้พร้อมรับมือกับทุกปัญหาที่เกิดขึ้น

“เคยรู้สึกท้อเหมือนกันค่ะ แต่ได้กำลังจากพ่อแม่และย่าบอกว่า
ต้องสู้นะอย่าไปท้อ หนูก็คิดในใจว่าขนาดพ่อกับแม่และย่ายังไม่ท้อ
แล้วหนูจะท้อทำไม แล้วพอเห็นคนที่เขาลำบากกว่าเราแต่เขาก็ยังสู้
ก็เลยคิดว่าปัญหาของเราแค่นี้ไม่เป็นไร ขอแค่ใจสู้ อดทน
และพยายามเดินต่อไปจะหยุดอยู่แค่นี้ไม่ได้ ยังมีคนข้างหลังที่ยังรอ
พึ่งเราอยู่ ถ้าเราไม่เข้มแข็งเสียแล้วคนที่อ่อนแอกว่าเรา
เขาก็จะยิ่งอ่อนแอตามไปด้วย เพราะฉะนั้นหนูเลยบอกตัวเองว่า
ต้องเข้มแข็งและยิ้มสู้กับทุกปัญหาอย่างไม่ย่อท้อ
ทุกครั้งที่เหนื่อยมากๆ ก็จะกลับมามองหน้าพ่อ มองหน้าย่า
ทำให้มีแรงมีพลังสู้ต่อไป ”

อนาคตที่วาดฝัน คือแรงผลักดันให้ต่อสู้

      น้องสาเป็นคนที่ชอบและสนใจในวิชาเคมีมากจึงทำให้มีความฝันว่าในอนาคตว่าอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ ปิโตรเคมี น้องสาจึงมุ่งมั่นอย่างเต็มที่เพื่อที่จะไปให้ถึงฝันนั้น ทุกวันที่ว่างจะการทำงานและดูแลพ่อแล้ว น้องสาจะใช้เวลาทบทวนบทเรียน เตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ ปิโตรเคมีให้สำเร็จ เพราะนอกจากจะได้ทำอาชีพที่ตัวเองชอบแล้ว ยังเป็นงานที่รายได้ดี ทำให้ น้องสาสามารถดูแลตัวเองและครอบครัวให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

“เป้าหมายสูงสุดในชีวิตของหนูคือเรียนให้จบปริญญา และได้ทำงานเป็นนักวิทยาศาตร์ปิโตรเคมีค่ะ หนูอยากเลือกเรียนในสิ่งที่ชอบ เพื่อที่จะได้ทำงานที่ตัวเองรัก เป็นงานที่มั่นคง มีรายได้เยอะ ๆ เพื่อจะได้นำมาดูแลทุกคนในครอบครัว แม้ว่าเป็นอาชีพนี้ที่ต้องไปทำงานที่ไกลและห่างจากครอบครัว เป็นเวลานานแต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ แค่สามารถดูแลพ่อแม่และย่า ส่งเสียน้องสาวเรียนหนังสือ ทำให้ทุกคน ในครอบครัวได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สะดวก สบายขึ้น แค่นี้ก็เรียกว่าประสบความสำเร็จแล้วในชีวิต ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะเป็นเพียงแค่ความฝันและยังต้องผ่านบททดสอบอีกมากมาย แต่หนูก็พร้อมจะลงมือ ทำมันให้เป็นจริงโดยไม่กลัวความผิดหวัง หรือความผิดพลาด เพราะทุกอย่างที่ได้ลองทำไม่ว่าผลลัพธ์ จะเป็นอย่างไงก็ล้วนเป็นบทเรียน และเป็นครูที่ดีในอนาคตที่จะทำให้เราจะทำสิ่งใหม่ๆ ให้ดีกว่าเดิมเสมอ ขอเป็นกำลังใจและสนับสนุนให้ทุกคนกล้าฝัน และทำมันให้สำเร็จนะคะ”