ผมอยากให้ทุกคนลองมองความฝันของตัวเอง
มันก็คงเป็นไปไม่ได้ หากคุณมัวแต่ท้อแท้และสิ้นหวัง
ลุกขึ้นสิ แล้วเดินตามทางต่อไป ล้มบาง เซบ้าง
แต่แค่เราไม่หยุดเดิน เราก็จะไปถึงจุดหมายได้แน่นอน

นายภูริทัต ท้งไร้ขิง (เจเจ)
เด็กเก่งและดี กตัญญู สู้ชีวิต
นักเรียนทุน SCG Sharing The Dream โดย มูลนิธิเอสซีจี

          น้องเจเจเกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่มีสมาชิกด้วยกันห้าคน คือ พ่อ แม่
น้องชาย น้องสาวและตัวเขาเอง แต่ต่อมาด้วยปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าทำให้พ่อกับแม่แยกทางกัน ครอบครัวแตกแยกทุกคนต้องกระจัดกระจายแยกย้ายไปคนละทิศละทาง โดยน้องเจเจได้ย้ายมาอยู่กับยายเหน่งที่เป็นพี่สาวของยาย ส่วนน้องๆ ญาติคนอื่น
ก็ช่วยกันรับไปดูแล ต่อมาเจเจได้ย้ายมาอยู่กับยายหนิงที่เป็นพี่สาวคนโตของยาย
ที่เมตตารับเขามาอุปการะให้ที่อยู่ที่กิน และส่งเสียเลี้ยงดู บ้านของยายหนิงตั้งอยู่
บนพื้นที่เช่าใกล้ๆ สถานีรถไฟศาลายา ใช้อยู่อาศัยและเปิดเป็นร้านขายของชำเล็กๆ
ซึ่งในทุกวัน เจเจจะไปเรียนตามปกติ แต่พอเลิกเรียนแล้วเขาจะรีบตรงกลับบ้าน
โดยทันที เพื่อคอยช่วยงานในร้าน เช่น ขายของ ยกของ เก็บกวาด จัดเรียงสินค้า
คอยช่วยงานต่างๆ อย่างสุดกำลังเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ แต่ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดพิเศษเจเจก็จะอยู่ร้านทั้งวันเพื่อช่วยงาน ถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระ คลายความเหนื่อยล้า และได้ทดแทนพระคุณของยายหนิงที่ได้กรุณาชุบเลี้ยง คุณยายที่ตอนนี้ถือเป็นเสาหลัก เป็นหลักของชีวิตที่ให้เจเจได้พึ่งพิง และในช่วงปิดเทอมเจเจ
ยังออกไปรับจ้างทำงานพิเศษที่ร้านอาหารเพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว
และส่งไปช่วยเหลือน้องๆ อีกด้วย

          สมัยเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนมัธยมปุรณาวาส เจเจเป็นนักเรียน
ที่มีผลการเรียนที่ดี ถือเป็นแบบอย่างของเด็กเรียนดี กิจกรรมเด่น เพราะเข้าร่วม
ทุกกิจกรรมของโรงเรียนจนทุกคนคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี จนได้รับคัดเลือกให้
เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและวัฒนธรรมที่เมืองฟูกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เดินทางไปเนื่องจากสถานการณ์โควิด แต่ถือเป็นรางวัลที่สร้าง
ความภาคภูมิใจให้กับเจเจเป็นอย่างมาก ปัจจุบันนี้น้องเจเจอายุ 18 ปี เป็นนักศึกษา
ชั้นปี ที่ 1 คณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาการสร้างสรรค์การบริการเพื่อธุรกิจ
การท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน

          น้องเจเจเกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่มีสมาชิกด้วยกันห้าคน คือ พ่อ แม่ น้องชาย น้องสาวและตัวเขาเอง แต่ต่อมาด้วยปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าทำให้พ่อกับแม่แยกทางกัน ครอบครัวแตกแยกทุกคนต้องกระจัดกระจายแยกย้ายไปคนละทิศละทาง โดยน้องเจเจได้ย้ายมาอยู่กับยายเหน่งที่เป็นพี่สาวของยาย ส่วนน้องๆ ญาติคนอื่นก็ช่วยกันรับไปดูแล ต่อมาเจเจได้ย้ายมาอยู่กับยายหนิงที่เป็นพี่สาวคนโตของยายที่เมตตารับเขามาอุปการะให้ที่อยู่ที่กิน และส่งเสียเลี้ยงดู บ้านของยายหนิงตั้งอยู่บนพื้นที่เช่าใกล้ๆ สถานีรถไฟศาลายา ใช้อยู่อาศัยและเปิดเป็นร้านขายของชำเล็กๆ ซึ่งในทุกวัน เจเจจะไปเรียนตามปกติ แต่พอเลิกเรียนแล้วเขาจะรีบตรงกลับบ้านโดยทันที เพื่อคอยช่วยงานในร้าน เช่น ขายของ ยกของ เก็บกวาด จัดเรียงสินค้า คอยช่วยงานต่างๆ อย่างสุดกำลังเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ แต่ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดพิเศษเจเจก็จะอยู่ร้านทั้งวันเพื่อช่วยงาน ถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระ คลายความเหนื่อยล้า และได้ทดแทนพระคุณของยายหนิงที่ได้กรุณาชุบเลี้ยง คุณยายที่ตอนนี้ถือเป็นเสาหลัก เป็นหลักของชีวิตที่ให้เจเจได้พึ่งพิง และในช่วงปิดเทอมเจเจยังออกไปรับจ้างทำงานพิเศษที่ร้านอาหารเพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวและส่งไปช่วยเหลือน้องๆ อีกด้วย

          สมัยเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนมัธยมปุรณาวาส เจเจเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนที่ดี ถือเป็นแบบอย่างของเด็กเรียนดี กิจกรรมเด่น เพราะเข้าร่วมทุกกิจกรรมของโรงเรียนจนทุกคนคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี จนได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและวัฒนธรรมที่เมืองฟูกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เดินทางไปเนื่องจากสถานการณ์โควิด แต่ถือเป็นรางวัลที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับเจเจเป็นอย่างมาก ปัจจุบันนี้น้องเจเจอายุ 18 ปี เป็นนักศึกษาชั้นปี ที่ 1 คณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาการสร้างสรรค์การบริการเพื่อธุรกิจการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน

          ในส่วนของการวางแผนชีวิตในอนาคต ตอนเด็กๆ เจเจมีความฝันว่าอยากเป็นครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ เพราะเขาชื่นชอบภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก แต่พอโตขึ้นเขาเริ่มมีความคิดที่อยากเป็นสจ๊วต พนักงานบริการบนเครื่องบิน เพราะเป็นอีกอาชีพที่จะได้ใช้ทักษะความสามารถด้านภาษาอย่างที่เขารักแต่ไม่ได้หมายความว่าเขา
จะทิ้งความฝันการเป็นครูหรอกนะ เพียงแค่วางแผนชีวิตใหม่ว่าจะตั้งใจทำงานตรงนี้สัก 5-10 ปี เพื่อให้มีรายได้ที่มั่นคงเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวลงหลักปักฐานให้ได้ก่อน หลังจากนั้นเขาก็จะผันตัวมาเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษเหมือนที่เคยฝัน
และตั้งใจไว้ตั้งแต่เด็กแน่นอน ถึงเจเจจะเลือกเปลี่ยนเส้นทางแต่จุดหมายปลายทาง
ในชีวิตยังคงเหมือนเดิม

          แม้ชีวิตจะล้มลุกคลุกคลาน เจอทั้งทุกข์และสุขมามากแต่สิ่งที่เป็นแรงผลักดัน
ให้เขาไม่เคยยอมแพ้ แม้จะเจอเรื่องที่ลำบากมากก็ตามนั่นก็คือครอบครัว ถึงครอบครัวเขาจะมีปัญหา ไม่ได้สมบูรณ์ ไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แต่เจเจก็มีความฝันว่าอยากเห็นครอบครัวของเขากลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง ดังนั้น เจเจ
จึงมองว่าความฝันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเมื่อใดที่เขาท้อ สิ้นหวัง หรือหมดไฟ
เขาจะหันกลับไปมองความฝันและบอกตัวเองว่าถ้าเรายังเป็นแบบนี้ ความฝันคง
ไม่เป็นจริงหรอก ยิ่งความฝันเราใหญ่แค่ไหน มันก็ยิ่งเป็นเชื้อเพลิงที่จะจุดไฟให้เราได้ดีขึ้นยิ่งขึ้นไปอีก จึงอยากฝากกำลังใจถึงทุกคนทีมีความฝันว่า
“ผมอยากจะให้ทุกคนลองมองความฝันของตัวเอง มันก็คงเป็นไปไม่ได้ หากคุณ
มัวแต่ท้อแท้และสิ้นหวังลุกขึ้นสิ แล้วเดินตามทางต่อไป ล้มบาง เซบ้าง แต่แค่เรา
ไม่หยุดเดิน เราก็จะไปถึงจุดหมายได้แน่นอน”

          ในส่วนของการวางแผนชีวิตในอนาคต ตอนเด็กๆ เจเจมีความฝันว่าอยากเป็นครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ เพราะเขาชื่นชอบภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก แต่พอโตขึ้นเขาเริ่มมีความคิดที่อยากเป็นสจ๊วต พนักงานบริการบนเครื่องบิน เพราะเป็นอีกอาชีพที่จะได้ใช้ทักษะความสามารถด้านภาษาอย่างที่เขารักแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทิ้งความฝันการเป็นครูหรอกนะ เพียงแค่วางแผนชีวิตใหม่ว่าจะตั้งใจทำงานตรงนี้สัก 5-10 ปี เพื่อให้มีรายได้ที่มั่นคงเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวลงหลักปักฐานให้ได้ก่อน หลังจากนั้นเขาก็จะผันตัวมาเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษเหมือนที่เคยฝันและตั้งใจไว้ตั้งแต่เด็กแน่นอน ถึงเจเจจะเลือกเปลี่ยนเส้นทางแต่จุดหมายปลายทางในชีวิตยังคงเหมือนเดิม

          แม้ชีวิตจะล้มลุกคลุกคลาน เจอทั้งทุกข์และสุขมามากแต่สิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้เขาไม่เคยยอมแพ้ แม้จะเจอเรื่องที่ลำบากมากก็ตามนั่นก็คือครอบครัว ถึงครอบครัวเขาจะมีปัญหา ไม่ได้สมบูรณ์ ไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แต่เจเจก็มีความฝันว่าอยากเห็นครอบครัวของเขากลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง ดังนั้น เจเจจึงมองว่าความฝันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเมื่อใดที่เขาท้อ สิ้นหวัง หรือหมดไฟ เขาจะหันกลับไปมองความฝันและบอกตัวเองว่าถ้าเรายังเป็นแบบนี้ ความฝันคงไม่เป็นจริงหรอก ยิ่งความฝันเราใหญ่แค่ไหน มันก็ยิ่งเป็นเชื้อเพลิงที่จะจุดไฟให้เราได้ดีขึ้นยิ่งขึ้นไปอีก จึงอยากฝากกำลังใจถึงทุกคนทีมีความฝันว่า
          “ผมอยากจะให้ทุกคนลองมองความฝันของตัวเอง มันก็คงเป็นไปไม่ได้ หากคุณมัวแต่ท้อแท้และสิ้นหวัง ลุกขึ้นสิ แล้วเดินตามทางต่อไป ล้มบาง เซบ้าง แต่แค่เราไม่หยุดเดิน เราก็จะไปถึงจุดหมายได้แน่นอน”

ขอบคุณภาพจาก : เก่งจริงชิงค่าเทอม | ONE31