เติมฝัน ปันสุข

นางสาวอนันตญา ชินวงศ์ (ฟ้าใส)

แม่ค้าออนไลน์ สร้างอาชีพจากสิ่งที่ชอบ

“อดีตนักเรียนทุน SCG Sharing The Dream โดย มูลนิธิเอสซีจี”

“มองสิ่งที่ตัวเองมีแล้วนำไปพัฒนาต่อ
สิ่งนั้นจะทำให้เรามีความรู้เกี่ยวกับมันมากขึ้น
เราอาจจะรักมันโดยไม่รู้ตัว แล้วทำมันได้ดี
และประสบความสำเร็จได้”

นางสาวอนันตญา ชินวงศ์ (ฟ้าใส)

แม่ค้าออนไลน์ สร้างอาชีพจากสิ่งที่ชอบ

เด็กยุคปัจจุบันเติบโตมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม โลกที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ล้วนบีบให้ทุกคนต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้ก้าวทันกับสถานการณ์ที่
เปลี่ยนไป เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขในอนาคตอันใกล้ ฟ้าใส-อนันตญา ชินวงศ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
คณะบริหารธุรกิจ ภาคภาษาอังกฤษ นักเรียนทุน SCG Sharing the Dream โดยมูลนิธิเอสซีจี เป็นหนึ่งตัวอย่างของวัยรุ่นในยุคนี้ที่เรียนรู้ทันโลก เรียนรู้ให้อยู่รอด พยายาม
ปรับตัวและไล่ตามความฝันจนสามารถเป็นแม่ค้าขายของออนไลน์ที่มีรายได้เลี้ยงดูตัวเองได้ตั้งแต่อายุยังน้อย

เห็นภาพความฝันชัดเจนจากการขายของ

         ฟ้าใสเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว ที่บ้านของเธอทำธุรกิจเล็ก ๆ เกี่ยวกับการรับผลิตของชำร่วยที่ทำจากผ้า ช่วงวัยเด็กฟ้าใสไม่ได้มีภาพความฝันว่าอยากจะเป็นอะไร เพิ่งมาเริ่มมองเห็นอาชีพที่คิดว่าจะทำ ตอนช่วงเรียนมัธยม
ที่โรงเรียนหอวัง ด้วยความที่เลือกเรียนสายศิลป์เอกภาษาจีน ฟ้าใสก็มองหาว่ามีอาชีพอะไรที่จะนำทักษะภาษาจีน
ไปใช้ได้บ้าง เป็นไกด์ เป็นล่าม หรือนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนมาขาย แต่นั่นก็ยังเป็นเพียงภาพความฝันจาง ๆ
ที่ยังคงไม่ชัดเจนนัก กระทั่งวันหนึ่งยายชวนฟ้าใสไปขายของที่ตลาด ซึ่งตอนนั้นฟ้าใสเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 1 ฟ้าใสรู้สึกมีความสุข และสนุกกับการขายของมาก การไปขายของกับยายครั้งนั้นเป็นการจุดประกายไฟความเป็นแม่ค้าที่ซ่อนอยู่ในตัวของฟ้าใสให้ลุกโชน เธอได้ค้นพบตัวเองในวันนั้นว่าอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
         “ตอนที่ไปช่วยคุณยายขายของหนูค้นพบตัวเองเลยว่าชอบการขายของมาก ๆ เห็นลูกค้ามาซื้อ
แล้วเราก็รับเงินมามันรู้สึกดีใจแล้วก็มีความสุขค่ะ เหมือนไฟในตัวมันถูกจุดขึ้นให้เห็นภาพชัดเจนว่าอยากทำอะไร
เราอยากเป็นเจ้าของธุรกิจเป็นของตัวเอง”

จุดเริ่มต้นการเป็นแม่ค้าออนไลน์

         ช่วงที่ฟ้าใสเรียนอยู่มหาลัย ปี 1 เป็นช่วงที่คนชอบเลี้ยงแคคตัส (ต้นกระบองเพชร) ที่บ้านของเธอก็เลี้ยงไว้หลายร้อยต้น วันหนึ่งพ่อของฟ้าใสเล่นแอปฯ ในโซเชียลมีเดียแล้วเห็นว่ามีคนทำกระถางต้นไม้แบบง่าย ๆ ครอบครัวเลยพากันไปซื้อบล็อคกระถางและปูนมาลองทำตาม แล้วเอามาใส่แคคตัสที่บ้าน และเมื่อกระถางเหลือแม่แนะนำให้
ฟ้าใสเอาไปโพสต์ขายออนไลน์ ฟ้าใสทำตามคำแนะนำของแม่ จัดการถ่ายรูปกระถางแล้วโพสต์ขายทันที นี่คือจุด
เริ่มต้นสู่การเป็นแม่ค้าออนไลน์ แต่ด้วยความที่เป็นร้านค้าใหม่ ช่วง 1-2 เดือนแรกจึงยังไม่มีลูกค้า ฟ้าใสเลยลองเพิ่มรูปแบบกระถางให้มีความหลากหลาย ปรับมุมการถ่ายภาพสินค้าให้น่าสนใจขึ้นเพื่อดึงดูดลูกค้า แล้วก็ได้ผล ในเดือนถัดมาเริ่มมีลูกค้าสั่งซื้อกระถางใบแรก และจากนั้นก็มีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนขายได้เกินสิบกล่องต่อวัน บางช่วงที่เป็นวันพิเศษขายได้เกือบร้อยกล่อง จากตอนแรกที่ทำเล่น ๆ ทำสิ่งที่สนุก มันกลายเป็นสิ่งที่สร้างรายได้ให้กับฟ้าใส

จนสามารถเลี้ยงดูตัวเองโดยที่ไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่
         “หนูเริ่มขายกระถางตอนเรียนปี 1 ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบันนี้หนูไม่เคยขอเงินจากพ่อแม่เลยก็รู้สึกภูมิใจ
ในตัวเองนะคะที่สามารถหาเงินเลี้ยงดูตัวเองได้ พ่อกับแม่ก็ภูมิใจค่ะ”

ต่อยอดจากสิ่งที่มีสู่ธุรกิจที่ฝัน

         ฟ้าใสมีความฝันว่าอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะมีธุรกิจร้านค้าออนไลน์ที่สร้างรายได้
ให้กับเธออยู่แล้วก็ตาม แต่มันยังเป็นเพียงบันไดขั้นแรกของการเดินไปสู่ธุรกิจที่เธอต้องการจะทำ ตอนนี้ฟ้าใสเริ่มต้นวางแผนว่าจะสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเอง ซึ่งต่อยอดมาจากธุรกิจรับผลิตของชำร่วยของที่บ้าน และนำมา
สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เป็นสินค้าพรีเมียม โดยเจาะตลาดลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ฟ้าใสบอกว่าเธอได้นำความรู้ที่ได้จากการเรียนบริหารฯ มาใช้ในการทำธุรกิจ และทักษะทางด้านภาษาที่สามารถสื่อสารได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีนมาใช้ ซึ่งภาษาเป็นต้นทุนชีวิตที่ฟ้าใสสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองโดยตั้งใจเลือกที่จะเรียน เพราะรู้ว่าภาษามีส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มโอกาสให้กับชีวิตและใช้ต่อยอดธุรกิจของตัวเองได้ในอนาคต
         “ตอนนี้หนูอยู่ปี 4 ก็เริ่มต้นทำธุรกิจที่จะต่อยอดจากของที่บ้านไปด้วยค่ะ เริ่มทำไปก่อนทีละนิด ๆ
ไม่จำเป็นต้องรอให้เรียนจบก่อนแล้วค่อยทำ หนูจริงจังกับธุรกิจตัวนี้มาก อยากให้มันประสบความสำเร็จ เลยคิดว่าถ้าเริ่มได้เร็วก็เริ่มเลยไม่ต้องรอ”

มองสิ่งที่มีแล้วนำมาพัฒนาต่อยอด

         ฟ้าใสเล่าให้ฟังว่ามีเพื่อนหลายคนถามว่าจะรู้ได้ยังไงว่าชอบอะไร รักอะไร แล้วอยากทำอะไร ฟ้าใสตอบเพื่อน ๆ ของเธอกลับไปว่าตัวเธอเองก็ไม่ได้รู้ว่าชอบอะไรในตอนแรก เพียงแค่เธอมองสิ่งที่มีอยู่ใกล้ตัวแล้วดูว่าจะทำอะไร
กับมันได้บ้าง เช่น ที่บ้านชอบต้นไม้ มีต้นไม้เยอะก็คิดว่าจะทำอะไรที่เกี่ยวกับต้นไม้ได้บ้าง หรือที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับผ้าก็ดูว่าจะต่อยอดไปเป็นอะไรดี ไม่จำเป็นต้องหาสิ่งใหม่ที่มันไกลตัวอยากให้ “มองสิ่งที่ตัวเองมีแล้วเอาไปพัฒนาต่อ สิ่งนั้นจะทำให้เรามีความรู้เกี่ยวกับมันมากขึ้น เราอาจจะรักมันโดยไม่รู้ตัว แล้วทำมันได้ดี และประสบความสำเร็จได้” ไม่ใช่ทำตามคนอื่นเพราะเห็นว่าเขาทำได้ ซึ่งในความเป็นจริงคนเรามีสูตรความสำเร็จที่ไม่เหมือนกัน สิ่งสำคัญคือต้องหาสิ่งที่ตัวเองรักจริง ๆ ให้เจอ ว่าชอบอะไร ถนัดอะไร เวลาว่างชอบทำอะไร ทำอะไรแล้วสนุก เป็นไลฟ์สไตล์
แล้วนำมาต่อยอดทำเป็นอาชีพสร้างรายได้

เรียนรู้ ปรับตัว เพื่ออยู่รอดในทุกสถานการณ์

         วิกฤตโรคระบาดที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบกับทุกคน ร้านค้าออนไลน์ของเธอก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ลูกค้าประหยัดเงินไม่ซื้อของ ทำให้รายได้ลดลงตามไปด้วย ฟ้าใสบอกว่ารู้สึกเครียดในช่วงแรก แต่พอเรียนรู้การจัดการตัวเองได้ ความเครียดก็ค่อยๆหายไป และปรับตัวให้อยู่กับสถานการณ์ได้ดีขึ้น ฟ้าใสใช้วิธีตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ในแต่ละวันและทำมันให้สำเร็จ ค่อยๆปรับเปลี่ยนโดยการจัดทำตารางชีวิตประจำวันว่าต้องทำอะไรบ้าง มีเป้าหมายเล็กๆในแต่ละวันอย่างไร เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอยู่เสมอ เช่น มีเรียน งานแปลภาษา ขายของออนไลน์ หาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่จะทำ หาความรู้และเทคนิคต่างๆเกี่ยวกับการทำการตลาดออนไลน์ เป้าหมายเล็กๆ
ที่ตั้งไว้ในแต่ละวันทำเหล่านี้ ก็เพื่อให้รู้ว่าตื่นมาแล้วมีอะไรให้ทำก็ทำให้สำเร็จ และวันพรุ่งนี้ก็ทำเป้าหมายอันใหม่ต่อไป ฟ้าใสเชื่อว่าแค่เราพยายามและลงมือทำมันด้วยความมุ่งมั่นเราก็จะสามารถปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์แน่นอน

         “จริง ๆ สิ่งที่แย่ก็มีข้อดีเพียงแค่เราต้องหามันให้เจอ อย่างตัวหนูเองข้อดีที่ได้จากสถาการณ์วิกฤตนี้ คือได้เรียนรู้การอยู่กับปัจจุบัน ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมันทำให้สามารถจัดการกับชีวิตได้ดีทั้งเรียน การขายของออนไลน์ หนูทำตารางชีวิตประจำวันขึ้นมา ตื่นมาทุกเช้าก็จะรู้แล้วว่าแต่ละวันจะต้องทำอะไรบ้างก็ทำให้มันเป็นเรื่องสนุกค่ะ แล้วเราก็จะรู้สึกมีความสุขได้ในทุกสถานการณ์ แค่เปลี่ยนวิธีคิด แล้วเรียนรู้เชื่อว่าเราทุกคนอยู่รอดและผ่านมันไปได้”